ไม่ว่า "เป้าหมาย" ของมือระเบิดที่ปฏิบัติการ ณ ถนนบรรทัดทอง ย่านเจริญผล และ ณ อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ จะคืออะไร
ต้องการ "ยกระดับ" ความขัดแย้ง
ต้องการ "ขยาย" และสร้าง "เงื่อนไข" ของสถานการณ์ให้บานปลายเพื่อเป็นประหนึ่ง "บัตรเชิญ" อันนำไปสู่การยึดอำนาจด้วยกระบวนการ "รัฐประหาร"
แต่ดูเหมือนว่า "ผล" จะไม่เป็นไปตาม "เจตนา" และ "เป้าหมาย"
เพราะไม่เพียงแต่จะกลายเป็นความชอบธรรมมากยิ่งขึ้นให้มีการประกาศและบังคับใช้ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินตั้งแต่วันที่ 22 มกราคม ภายในกรอบระยะเวลา 60 วันเท่านั้น
หากแต่ยังทำให้การกำกับและควบคุมให้กระบวนการเลือกตั้งในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ มีหลักประกันมากยิ่งขึ้น
ขณะเดียวกัน แทนที่จะหนุนเสริมให้นำไปสู่กระบวนการรัฐประหาร ตรงกันข้าม กลับสร้างภาวะละล้าละลัง ขณะที่กล่าวสำหรับการชุมนุม "ชัตดาวน์" กรุงเทพมหานครของ กปปส. ไม่บรรลุตามเป้าที่จัดวางเอาไว้
ความยืดเยื้อของ "สถานการณ์" จึงขยายวงกว้างไปจนถึงเดือนกุมภาพันธ์
แม้จะมีความพยายามโหมประโคมสร้างเรื่องให้ไปในทิศทางที่ว่าระเบิดมาจากการสร้างสถานการณ์ของตำรวจและรัฐบาล
เห็นได้จากการหวาดระแวง "ตำรวจ" ไม่ยอมให้เข้าในที่เกิดเหตุ
เห็นได้จากการชี้นิ้วเข้าหาและเรียกร้องความรับผิดชอบของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ไม่ว่าจะมาจาก นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ไม่ว่าจะมาจาก นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
แต่ความเป็นจริงอันปรากฏกลับไม่เป็นไปอย่างนั้น
คลิปวิดีโออันเจ้าหน้าที่ตำรวจได้มาจากกล้องซีซีทีวีในสถานที่เกิดเหตุบ่งชัดว่า ระเบิดไม่ได้มาจากภายนอก
หากแต่มาจากคนที่ร่วมอยู่ในการเคลื่อนขบวน
ยิ่งสถานการณ์ที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิยิ่งเด่นชัดว่า มือระเบิดแต่งตัวคล้องนกหวีดเหมือนๆ กับมวลมหาประชาชน
หากเป็น "คนอื่น" ก็เข้าไปในลักษณะ "แฝงตัว"
ขณะที่ทั้งการ์ด กปปส. และเจ้าหน้าที่ตำรวจมีการตั้งด่านตรวจสอบอย่างเข้มงวด บทสรุปจึงมุ่งไปยังมือที่ 3 มากกว่า
จึงเด่นชัดว่ามีคนต้องการฉวยโอกาสขยายและยกระดับสถานการณ์
ไม่ว่าการฉวยโอกาสจะมาจากไหน แต่เด่นชัดยิ่งว่าดำเนินไปในลักษณะของ "หลวงมุ่งกระแทกกลาง" อาศัยสถานการณ์มาอำนวยประโยชน์ให้กับฝ่ายตน
หากไม่สนใจการเคลื่อนไหวก่อนหน้านี้จะมองไม่ออกหรอก
เพราะว่าสงครามอันเกิดขึ้นระหว่าง กปปส. กับรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นั้น เป็นไปในกระสวนแห่งสงครามตัวแทน
หรือที่ฝรั่งเรียกว่า PROXY WAR
ฝ่ายของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ถือธงเดียวคือ อาศัยหลักแห่งกฎหมายมาเป็นเครื่องมือ ขณะที่อีกฝ่ายถือธงก้าวข้ามหลักแห่งกฎหมายเพื่อก้าวไปสู่ชัยชนะ
การประกาศและบังคับใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ถือว่ายังอยู่ในธงของหลักแห่งนิติธรรม
ขณะที่การใช้ระเบิด การใช้กระสุนยิงเข้าใส่ผู้ชุมนุม ต้องการขยายความขัดแย้งและเปิดช่องให้การยึดอำนาจ การเผด็จศึกด้วยความรุนแรง
อันเป็นแผนล้ำลึกของเหล่า "อัศวินม้าขาว"
ต้องการ "ยกระดับ" ความขัดแย้ง
ต้องการ "ขยาย" และสร้าง "เงื่อนไข" ของสถานการณ์ให้บานปลายเพื่อเป็นประหนึ่ง "บัตรเชิญ" อันนำไปสู่การยึดอำนาจด้วยกระบวนการ "รัฐประหาร"
แต่ดูเหมือนว่า "ผล" จะไม่เป็นไปตาม "เจตนา" และ "เป้าหมาย"
เพราะไม่เพียงแต่จะกลายเป็นความชอบธรรมมากยิ่งขึ้นให้มีการประกาศและบังคับใช้ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินตั้งแต่วันที่ 22 มกราคม ภายในกรอบระยะเวลา 60 วันเท่านั้น
หากแต่ยังทำให้การกำกับและควบคุมให้กระบวนการเลือกตั้งในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ มีหลักประกันมากยิ่งขึ้น
ขณะเดียวกัน แทนที่จะหนุนเสริมให้นำไปสู่กระบวนการรัฐประหาร ตรงกันข้าม กลับสร้างภาวะละล้าละลัง ขณะที่กล่าวสำหรับการชุมนุม "ชัตดาวน์" กรุงเทพมหานครของ กปปส. ไม่บรรลุตามเป้าที่จัดวางเอาไว้
ความยืดเยื้อของ "สถานการณ์" จึงขยายวงกว้างไปจนถึงเดือนกุมภาพันธ์
แม้จะมีความพยายามโหมประโคมสร้างเรื่องให้ไปในทิศทางที่ว่าระเบิดมาจากการสร้างสถานการณ์ของตำรวจและรัฐบาล
เห็นได้จากการหวาดระแวง "ตำรวจ" ไม่ยอมให้เข้าในที่เกิดเหตุ
เห็นได้จากการชี้นิ้วเข้าหาและเรียกร้องความรับผิดชอบของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ไม่ว่าจะมาจาก นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ไม่ว่าจะมาจาก นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
แต่ความเป็นจริงอันปรากฏกลับไม่เป็นไปอย่างนั้น
คลิปวิดีโออันเจ้าหน้าที่ตำรวจได้มาจากกล้องซีซีทีวีในสถานที่เกิดเหตุบ่งชัดว่า ระเบิดไม่ได้มาจากภายนอก
หากแต่มาจากคนที่ร่วมอยู่ในการเคลื่อนขบวน
ยิ่งสถานการณ์ที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิยิ่งเด่นชัดว่า มือระเบิดแต่งตัวคล้องนกหวีดเหมือนๆ กับมวลมหาประชาชน
หากเป็น "คนอื่น" ก็เข้าไปในลักษณะ "แฝงตัว"
ขณะที่ทั้งการ์ด กปปส. และเจ้าหน้าที่ตำรวจมีการตั้งด่านตรวจสอบอย่างเข้มงวด บทสรุปจึงมุ่งไปยังมือที่ 3 มากกว่า
จึงเด่นชัดว่ามีคนต้องการฉวยโอกาสขยายและยกระดับสถานการณ์
ไม่ว่าการฉวยโอกาสจะมาจากไหน แต่เด่นชัดยิ่งว่าดำเนินไปในลักษณะของ "หลวงมุ่งกระแทกกลาง" อาศัยสถานการณ์มาอำนวยประโยชน์ให้กับฝ่ายตน
หากไม่สนใจการเคลื่อนไหวก่อนหน้านี้จะมองไม่ออกหรอก
เพราะว่าสงครามอันเกิดขึ้นระหว่าง กปปส. กับรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นั้น เป็นไปในกระสวนแห่งสงครามตัวแทน
หรือที่ฝรั่งเรียกว่า PROXY WAR
ฝ่ายของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ถือธงเดียวคือ อาศัยหลักแห่งกฎหมายมาเป็นเครื่องมือ ขณะที่อีกฝ่ายถือธงก้าวข้ามหลักแห่งกฎหมายเพื่อก้าวไปสู่ชัยชนะ
การประกาศและบังคับใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ถือว่ายังอยู่ในธงของหลักแห่งนิติธรรม
ขณะที่การใช้ระเบิด การใช้กระสุนยิงเข้าใส่ผู้ชุมนุม ต้องการขยายความขัดแย้งและเปิดช่องให้การยึดอำนาจ การเผด็จศึกด้วยความรุนแรง
อันเป็นแผนล้ำลึกของเหล่า "อัศวินม้าขาว"
..............
(ที่มา:มติชนสุดสัปดาห์ประจำวันที่ 24- 30 มกราคม 2557)