ศูนย์รักษาความสงบ(ศรส.) แสดงความเสียใจต่อตำรวจและประชาชนที่เสียชีวิต และผู้บาดเจ็บ ขณะที่สถานที่ราชการเปิดทำการได้แล้ว 5 แห่ง
วันนี้ ( 19 ก.พ.57 ) ศูนย์รักษาความสงบ (ศรส.) แถลงสรุปผลการประชุม ว่า ศรส. แสดงความเสียใจต่อตำรวจและประชาชนที่เสียชีวิต และผู้บาดเจ็บจากเหตุการณ์ที่บริเวณสะพานผ่านฟ้าลีลาศเมื่อเช้าวานนี้ พร้อมทั้งประนามกลุ่มกองกำลังไม่ทราบฝ่ายที่ปะปนอยู่ในกลุ่มของผู้ชุมนุม แล้วใช้อาวุธสงครามร้ายแรงได้แก่ ระเบิดลูกเกลี้ยง ระเบิดเอ็ม 79 ปืนซุ่มยิงความเร็วสูง และปืนสั้นชนิดต่างๆ รวมทั้งแก๊สน้ำตา ระดมยิงใส่ตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่ เป็นผลให้มีตำรวจและประชาชนเสียชีวิต 5 ราย และบาดเจ็บอีก 68 ราย
โดย ศรส. ยืนยันว่า การปฏิบัติการของตำรวจชุดควบคุมฝุงชนนั้นปราศจากอาวุธ มีเพียงแค่โล่ กระบอง ปละปืนยิงกระสุนยางเท่านั้น และปฏิบัติการภายใต้กรอบของกฏหมายอย่างเปิดเผยต่อหน้าสื่อมวลชน พร้อมทั้งได้ปฏิบัติตามขั้นตอนตั้งแต่การเจรจา การกดดันด้วยกำลังพล และยุทธวิธีต่างๆ
ส่วนตอนท้ายนั้น ศรส.ได้แจ้งว่า ขณะนี้สถานที่ราชการสามารถเปิดใช้งานได้ปกติแล้ว 5 แห่ง คือ กรมการกงสุล, กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง, บริษัทไปรษณีย์ จำกัด, กรมการขนส่งทางบก, และการสื่อสารแห่งประเทศไทย รวมเปิดส่วนราชการได้ทั้งหมด 53 แห่งแล้ว
ฉบับเต็ม
สรุปผลการประชุม ศรส. เมื่อวันที่ ๑๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗
ศูนย์รักษาความสงบ หรือ ศรส. มีผลการประชุมสมควรแจ้งให้พี่น้องประชาชนทราบ ดังนี้
๑. ศรส.ขอแสดงความเสียใจต่อตำรวจและประชาชนที่เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ที่บริเวณสะพานผ่านฟ้าลีลาศเมื่อเช้าวานนี้ และขอประณามกลุ่มกองกำลังไม่ทราบฝ่ายที่ปะปนอยู่ในกลุ่มของผู้ชุมนุม แล้วใช้อาวุธสงครามร้ายแรง อันได้แก่ ระเบิดลูกเกลี้ยง ระเบิดเอ็ม ๗๙ ปืนซุ่มยิงความเร็วสูง และปืนสั้นชนิดต่าง ๆ รวมทั้ง แก๊สน้ำตา ระดมยิงเข้าใส่ตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่ เป็นผลให้มีตำรวจและประชาชนเสียชีวิตถึง ๕ คน และบาดเจ็บรวม ๖๘ คน จึงเป็นที่แน่ชัดว่า แกนนำ กปปส.ได้ จงใจและยินยอมให้มีกองกำลังติดอาวุธร้ายแรงเข้าปฏิบัติการดังกล่าว
ศรส.ขอยืนยันว่า การปฏิบัติการของตำรวจชุดควบคุมฝูงชนนั้นปราศจากอาวุธ คงมีเพียงโล่ กระบอง และปืนยิงกระสุนยางเท่านั้น โดยเฉพาะตำรวจได้ปฏิบัติการภายใต้กรอบของกฎหมายอย่างเปิดเผยต่อหน้าสื่อมวลชน และปฏิบัติการเป็นขั้นตอนตั้งแต่การเจรจา การกดดันด้วยกำลังพล และยุทธวิธีต่าง ๆ ซึ่งมิใช่เป็นการใช้อาวุธเข้าสลายการชุมนุมแต่อย่างใด ส่วนภาพทางสื่อมวลชนที่ปรากฏตำรวจถืออาวุธนั้น เป็นอาวุธปืนที่ใช้ยิงกระสุนยางเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ตำรวจจำเป็นต้องมีหน่วยสนับสนุนที่มีหน้าที่คุ้มครองป้องกันหากตำรวจชุดควบคุมฝูงชนถูกอาวุธร้ายแรงทำร้าย ซึ่งสามารถกระทำได้ตามกฎหมายเพื่อป้องกันชีวิตและทรัพย์สิน แต่การปฏิบัติการเมื่อเช้าวานนี้ ตำรวจหน่วยสนับสนุนก็ไม่ได้ใช้อาวุธปืนยิงแต่อย่างใด คงมีเพียงการแสดงกำลังและอาวุธเพื่อป้องปรามตามยุทธวิธีเท่านั้น
การที่แกนนำ กปปส. โดยเฉพาะนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ได้พูดกล่าวหาและบิดเบือนว่า ตำรวจใช้อาวุธทำร้ายผู้ชุมนุม โดยตัดต่อภาพและพูดเท็จ จึงทำให้ประชาชนเข้าใจผิด ขณะที่สื่อมวลชนต่างประเทศ คือ สำนักข่าว CNNและ BBC ได้เสนอภาพและข่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า มีคนร้ายใช้ระเบิดลูกเกลี้ยง และระเบิดเอ็ม ๗๙ และอาวุธปืนยิงเข้าใส่ตำรวจอยู่ตลอดเวลา โดยตำรวจไม่ได้เตรียมการตั้งรับ จึงต้องบาดเจ็บและเสียชีวิต จนในที่สุดต้องถอนกำลังออกจากบริเวณที่เกิดเหตุ และครั้นเมื่อภาพข่าวได้เผยแพร่ไปจนได้ความจริงปรากฏแก่ประชาชนแล้ว นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ แกนนำ กปปส. ก็มากล่าว ขอโทษแก่สื่อมวลชนว่าเป็นความบกพร่องของตนเองที่เขียนบทพูดหรือสคริปต์ ให้นายสุเทพฯ พูดผิดพลาดไป ดังนั้น จึงถือได้ว่า แกนนำ กปปส. จงใจบิดเบือนข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ให้ประชาชนเข้าใจผิด
ศรส. ยังได้รับแจ้งข้อมูลว่า จากเหตุการณ์ที่เกิดเมื่อเช้าวานนี้ เมื่อมีคนบาดเจ็บและเสียชีวิต ทางเจ้าหน้าที่ทหารได้เข้าช่วยเหลือตำรวจและประชาชนที่ได้รับบาดเจ็บเพื่อนำส่งโรงพยาบาล แต่ปรากฏว่าผู้ชุมนุมบางส่วนได้ขัดขวางปิดเส้นทางมิให้รถพยาบาลและเจ้าหน้าที่ทำการลำเลียงช่วยเหลือผู้บาดเจ็บได้อย่างสะดวก ซึ่ง ศรส. มีความห่วงใยในเรื่องนี้เป็นอย่างยิ่ง
๒. ศรส.ได้รับรายงานจากกองบัญชาการตำรวจนครบาลและตำรวจภูธรภาคถึงความคืบหน้าในการดำเนินคดีกับแกนนำ กปปส. และแนวร่วม กรณีร่วมกันกระทำผิดด้วยการขัดขวางการเลือกตั้ง ด้วยวิธีการต่าง ๆ ทั้งในกรุงเทพมหานครและในต่างจังหวัดโดยเฉพาะภาคใต้ ซึ่งเป็นความผิดร้ายแรงต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตย เป็นการล่วงละเมิดสิทธิของประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งโดยตรง
ขณะนี้มีจำนวนคดีประเภทขัดขวางการเลือกตั้งทั่วประเทศ จำนวน ๑๖๒ คดี คดีประเภทเป็นเจ้าหน้าที่ กกต. จงใจละทิ้งหน้าที่ไม่จัดการเลือกตั้ง จำนวน ๑๗๐ คดี รวมคดีทั้งสิ้น ๓๓๒ คดี และศาลได้ออกหมายจับ ให้แล้วจำนวน ๑๑๐ คน ขณะนี้ได้ตัวมาดำเนินคดีแล้วจำนวน ๓๕ คน
๓. ตามนโยบายของ ศรส. ร่วมกับส่วนราชการต่าง ๆ ได้เห็นถึงความจำเป็นและความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนจากการปิดกรุงเทพมหานครของ กปปส. โดยเฉพาะสถานที่ราชการ ดังนั้น เพื่อให้สถานที่ราชการสามารถกลับมาเปิดให้บริการประชาชนได้ตามเดิม ศรส. ร่วมกับส่วนราชการจึงได้ทำพิธีเปิดสถานที่ราชการต่าง ๆ ที่ถูกปิดให้เริ่มเปิดทำการได้ ขณะนี้สามารถเปิดเพิ่มเติมได้อีก ๕ แห่ง ได้แก่ กรมการกงสุล กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง บริษัทไปรษณีย์ไทย จำกัด กรมการขนส่งทางบก และการสื่อสารแห่งประเทศไทย รวมเปิดส่วนราชการได้ทั้งหมดถึง ๕๓ แห่งแล้ว
จึงประกาศมาเพื่อทราบทั่วกัน
______________________