วันอังคารที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

ศรส.แถลงแสดงความเสียใจต่อผู้เสียชีวิต และผู้บาดเจ็บ

ศรส.แถลงแสดงความเสียใจต่อผู้เสียชีวิต และผู้บาดเจ็บ


ศูนย์รักษาความสงบ(ศรส.) แสดงความเสียใจต่อตำรวจและประชาชนที่เสียชีวิต และผู้บาดเจ็บ ขณะที่สถานที่ราชการเปิดทำการได้แล้ว 5 แห่ง

วันนี้ ( 19 ก.พ.57 ) ศูนย์รักษาความสงบ (ศรส.) แถลงสรุปผลการประชุม ว่า ศรส. แสดงความเสียใจต่อตำรวจและประชาชนที่เสียชีวิต และผู้บาดเจ็บจากเหตุการณ์ที่บริเวณสะพานผ่านฟ้าลีลาศเมื่อเช้าวานนี้ พร้อมทั้งประนามกลุ่มกองกำลังไม่ทราบฝ่ายที่ปะปนอยู่ในกลุ่มของผู้ชุมนุม แล้วใช้อาวุธสงครามร้ายแรงได้แก่ ระเบิดลูกเกลี้ยง ระเบิดเอ็ม 79 ปืนซุ่มยิงความเร็วสูง และปืนสั้นชนิดต่างๆ รวมทั้งแก๊สน้ำตา ระดมยิงใส่ตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่ เป็นผลให้มีตำรวจและประชาชนเสียชีวิต 5 ราย และบาดเจ็บอีก 68 ราย 

โดย ศรส. ยืนยันว่า การปฏิบัติการของตำรวจชุดควบคุมฝุงชนนั้นปราศจากอาวุธ มีเพียงแค่โล่ กระบอง ปละปืนยิงกระสุนยางเท่านั้น และปฏิบัติการภายใต้กรอบของกฏหมายอย่างเปิดเผยต่อหน้าสื่อมวลชน พร้อมทั้งได้ปฏิบัติตามขั้นตอนตั้งแต่การเจรจา การกดดันด้วยกำลังพล และยุทธวิธีต่างๆ 

ส่วนตอนท้ายนั้น ศรส.ได้แจ้งว่า ขณะนี้สถานที่ราชการสามารถเปิดใช้งานได้ปกติแล้ว 5 แห่ง คือ กรมการกงสุล, กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง, บริษัทไปรษณีย์ จำกัด, กรมการขนส่งทางบก, และการสื่อสารแห่งประเทศไทย รวมเปิดส่วนราชการได้ทั้งหมด 53 แห่งแล้ว

ฉบับเต็ม

สรุปผลการประชุม ศรส. เมื่อวันที่ ๑๙ กุมภาพันธ์  ๒๕๕๗
                         ศูนย์รักษาความสงบ หรือ ศรส. มีผลการประชุมสมควรแจ้งให้พี่น้องประชาชนทราบ ดังนี้
                         ๑.     ศรส.ขอแสดงความเสียใจต่อตำรวจและประชาชนที่เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ที่บริเวณสะพานผ่านฟ้าลีลาศเมื่อเช้าวานนี้ และขอประณามกลุ่มกองกำลังไม่ทราบฝ่ายที่ปะปนอยู่ในกลุ่มของผู้ชุมนุม  แล้วใช้อาวุธสงครามร้ายแรง อันได้แก่ ระเบิดลูกเกลี้ยง  ระเบิดเอ็ม ๗๙  ปืนซุ่มยิงความเร็วสูง  และปืนสั้นชนิดต่าง ๆ รวมทั้ง แก๊สน้ำตา  ระดมยิงเข้าใส่ตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่  เป็นผลให้มีตำรวจและประชาชนเสียชีวิตถึง ๕ คน และบาดเจ็บรวม ๖๘ คน  จึงเป็นที่แน่ชัดว่า แกนนำ กปปส.ได้    จงใจและยินยอมให้มีกองกำลังติดอาวุธร้ายแรงเข้าปฏิบัติการดังกล่าว

                                   ศรส.ขอยืนยันว่า การปฏิบัติการของตำรวจชุดควบคุมฝูงชนนั้นปราศจากอาวุธ  คงมีเพียงโล่ กระบอง และปืนยิงกระสุนยางเท่านั้น  โดยเฉพาะตำรวจได้ปฏิบัติการภายใต้กรอบของกฎหมายอย่างเปิดเผยต่อหน้าสื่อมวลชน  และปฏิบัติการเป็นขั้นตอนตั้งแต่การเจรจา  การกดดันด้วยกำลังพล  และยุทธวิธีต่าง ๆ ซึ่งมิใช่เป็นการใช้อาวุธเข้าสลายการชุมนุมแต่อย่างใด ส่วนภาพทางสื่อมวลชนที่ปรากฏตำรวจถืออาวุธนั้น เป็นอาวุธปืนที่ใช้ยิงกระสุนยางเท่านั้น  อย่างไรก็ตาม ตำรวจจำเป็นต้องมีหน่วยสนับสนุนที่มีหน้าที่คุ้มครองป้องกันหากตำรวจชุดควบคุมฝูงชนถูกอาวุธร้ายแรงทำร้าย  ซึ่งสามารถกระทำได้ตามกฎหมายเพื่อป้องกันชีวิตและทรัพย์สิน แต่การปฏิบัติการเมื่อเช้าวานนี้ ตำรวจหน่วยสนับสนุนก็ไม่ได้ใช้อาวุธปืนยิงแต่อย่างใด คงมีเพียงการแสดงกำลังและอาวุธเพื่อป้องปรามตามยุทธวิธีเท่านั้น 

                                   การที่แกนนำ กปปส. โดยเฉพาะนายสุเทพ  เทือกสุบรรณ ได้พูดกล่าวหาและบิดเบือนว่า ตำรวจใช้อาวุธทำร้ายผู้ชุมนุม โดยตัดต่อภาพและพูดเท็จ  จึงทำให้ประชาชนเข้าใจผิด  ขณะที่สื่อมวลชนต่างประเทศ คือ สำนักข่าว CNNและ BBC  ได้เสนอภาพและข่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า  มีคนร้ายใช้ระเบิดลูกเกลี้ยง และระเบิดเอ็ม ๗๙  และอาวุธปืนยิงเข้าใส่ตำรวจอยู่ตลอดเวลา  โดยตำรวจไม่ได้เตรียมการตั้งรับ    จึงต้องบาดเจ็บและเสียชีวิต  จนในที่สุดต้องถอนกำลังออกจากบริเวณที่เกิดเหตุ  และครั้นเมื่อภาพข่าวได้เผยแพร่ไปจนได้ความจริงปรากฏแก่ประชาชนแล้ว  นายเอกนัฏ  พร้อมพันธุ์  แกนนำ กปปส. ก็มากล่าว ขอโทษแก่สื่อมวลชนว่าเป็นความบกพร่องของตนเองที่เขียนบทพูดหรือสคริปต์  ให้นายสุเทพฯ พูดผิดพลาดไป  ดังนั้น จึงถือได้ว่า แกนนำ กปปส. จงใจบิดเบือนข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ให้ประชาชนเข้าใจผิด

                                   ศรส. ยังได้รับแจ้งข้อมูลว่า จากเหตุการณ์ที่เกิดเมื่อเช้าวานนี้ เมื่อมีคนบาดเจ็บและเสียชีวิต  ทางเจ้าหน้าที่ทหารได้เข้าช่วยเหลือตำรวจและประชาชนที่ได้รับบาดเจ็บเพื่อนำส่งโรงพยาบาล  แต่ปรากฏว่าผู้ชุมนุมบางส่วนได้ขัดขวางปิดเส้นทางมิให้รถพยาบาลและเจ้าหน้าที่ทำการลำเลียงช่วยเหลือผู้บาดเจ็บได้อย่างสะดวก  ซึ่ง ศรส. มีความห่วงใยในเรื่องนี้เป็นอย่างยิ่ง

                         ๒.    ศรส.ได้รับรายงานจากกองบัญชาการตำรวจนครบาลและตำรวจภูธรภาคถึงความคืบหน้าในการดำเนินคดีกับแกนนำ กปปส. และแนวร่วม กรณีร่วมกันกระทำผิดด้วยการขัดขวางการเลือกตั้ง    ด้วยวิธีการต่าง ๆ ทั้งในกรุงเทพมหานครและในต่างจังหวัดโดยเฉพาะภาคใต้  ซึ่งเป็นความผิดร้ายแรงต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตย  เป็นการล่วงละเมิดสิทธิของประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งโดยตรง 
ขณะนี้มีจำนวนคดีประเภทขัดขวางการเลือกตั้งทั่วประเทศ จำนวน ๑๖๒ คดี  คดีประเภทเป็นเจ้าหน้าที่ กกต.  จงใจละทิ้งหน้าที่ไม่จัดการเลือกตั้ง จำนวน ๑๗๐ คดี  รวมคดีทั้งสิ้น ๓๓๒ คดี และศาลได้ออกหมายจับ  ให้แล้วจำนวน ๑๑๐ คน  ขณะนี้ได้ตัวมาดำเนินคดีแล้วจำนวน ๓๕ คน

                         ๓.    ตามนโยบายของ ศรส. ร่วมกับส่วนราชการต่าง ๆ ได้เห็นถึงความจำเป็นและความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนจากการปิดกรุงเทพมหานครของ กปปส.  โดยเฉพาะสถานที่ราชการ  ดังนั้น เพื่อให้สถานที่ราชการสามารถกลับมาเปิดให้บริการประชาชนได้ตามเดิม  ศรส. ร่วมกับส่วนราชการจึงได้ทำพิธีเปิดสถานที่ราชการต่าง ๆ ที่ถูกปิดให้เริ่มเปิดทำการได้  ขณะนี้สามารถเปิดเพิ่มเติมได้อีก ๕ แห่ง ได้แก่ กรมการกงสุล  กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง  บริษัทไปรษณีย์ไทย จำกัด  กรมการขนส่งทางบก  และการสื่อสารแห่งประเทศไทย  รวมเปิดส่วนราชการได้ทั้งหมดถึง ๕๓ แห่งแล้ว 
                         จึงประกาศมาเพื่อทราบทั่วกัน
______________________

เข้าดูมากที่สุด 7 วันที่ผ่านมา