วันอังคารที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2557

ปิดโอกาสเจรจามีแต่โอกาสสงครามกลางเมือง

สถานการณ์การเมืองไทยกำลังถึงจุดที่เรียกได้ว่า "ไร้ทางออก" ขยับไปทางไหนก็ยาก และดูจะสายเกินไป

ฝ่ายรัฐบาลจะตัดสินใจเลื่อนเลือกตั้ง ก็กลัวเสียหน้า เสียอำนาจต่อรอง และกลัวผิดกฎหมาย ทำผิดรัฐธรรมนูญ ถูกยื่นสอยจนหมดอนาคตทางการเมือง

ฝ่าย กกต.จะแสดงจุดยืนชัดๆ ให้เลื่อนเลือกตั้ง ก็กลัวถูกกล่าวหาดำเนินคดีในข้อหาเป็นเจ้าพนักงานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ มีหน้าที่จัดการเลือกตั้ง กลับเสนอเลื่อนเลือกตั้ง ครั้นจะลาออก ก็จะยิ่งเข้าทางพวกจ้องเล่นงานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่มากขึ้น

ฝ่าย กปปส.ก็ตั้งเงื่อนไขของตนเองไว้สูงลิบ ทั้งรัฐบาลรักษาการลาออก เลื่อนเลือกตั้ง ตั้งสภาประชาชนปฏิรูปประเทศ โดยไม่มีความชัดเจนเรื่องกระบวนการคัดเลือกตัวบุคคลเข้าเป็นสภาประชาชนฯที่ทุกฝ่ายยอมรับ

ด้านกองทัพ ก็ได้แต่ให้สัมภาษณ์เชิงขู่ให้หนังสือพิมพ์เอาไปพาดหัวข่าวรายวัน แต่ยังมองไม่เห็นหนทางที่จะคลี่คลายวิกฤติได้

อะไรๆ จึงดูเหมือน "ติดล็อก" ไปหมด

พล.อ.เอกชัย ศรีวิลาศ ผู้อำนวยการสำนักสันติวิธีและธรรมาภิบาล สถาบันพระปกเกล้า ให้สัมภาษณ์กับ "กรุงเทพธุรกิจ" โดยยอมรับอย่างปลงๆ กับสถานการณ์ว่า สถานการณ์ขณะนี้ "โอกาสจบยากขึ้นเรื่อยๆ โอกาสเจรจาไม่มีเลย ส่วนโอกาสเกิดสงครามกลางเมืองมีมากกว่า"

ในมุมมองของ พล.อ.เอกชัย เขาอธิบายว่า หากสถานการณ์เดินหน้าสู่การปฏิวัติรัฐประหาร ไม่ว่าจะรูปแบบใด โอกาสเกิดสงครามกลางเมืองยิ่งมากขึ้น โดยการปฏิวัตินั้น เป็นไปได้ 3 แบบ คือ

1.ปฏิวัติโดยทหาร ย่อมถูกต่อต้านและตอบโต้จากมวลชนคนเสื้อแดงอย่างกว้างขวาง ซึ่งน่าจะเกิดสงครามกลางเมืองแน่

2.ปฏิวัติโดยประชาชน (กลุ่มนายสุเทพ) ถ้าทำสำเร็จก็จะถูกต่อต้านจากฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยและอาจบานปลายกลายเป็นความรุนแรงได้เช่นกัน

3.ปฏิวัติโดยรัฐบาลเอง

"การปฏิวัติรูปแบบที่ 3 นี้มีความเป็นไปได้อยู่เหมือนกัน แต่รัฐบาลต้องเกลี้ยกล่อมคนเสื้อแดงไม่ยอม เพราะการปฏิวัติจะทำให้รัฐบาลได้ประโยชน์ เนื่องจากรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันกับองค์กรอิสระที่มีอยู่ ทำให้รัฐบาลไม่สามารถก้าวเดินต่อไปได้แล้ว เรียกว่าถึงทางตันแล้ว ไม่ว่าจะมีการเลือกตั้งวันที่ 2 ก.พ.หรือไม่ เพราะหากเลือกตั้งได้ ก็ตั้งรัฐบาลไม่ได้อยู่ดี ซ้ำยังมีสมาชิกรัฐสภาอีกกว่า 300 คน รอถูก ป.ป.ช.ชี้มูลความผิด และต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่อีก"

พล.อ.เอกชัย บอกอีกว่า การปฏิวัติยังสามารถเกิดได้ทุกเมื่อ เพราะทุกครั้งที่มีการปฏิวัติ ก็จะมีการออกกฎหมายนิรโทษกรรม การปฏิวัติจึงทำได้อย่างปลอดภัย หากปฏิวัติแล้วถูกประหารชีวิตทุกกรณี ไม่ว่าจะสำเร็จหรือไม่ ก็คงไม่มีใครกล้าทำ

"สถานการณ์มาถึงจุดนี้ ทุกฝ่ายต้องการให้เกิดสุญญากาศ ฝ่าย กปปส.ประกาศตลอดว่าต้องการสุญญากาศจากการที่นายกฯลาออกจากรักษาการ แล้วเขาจะตั้งสภาประชาชน ส่วนรัฐบาลก็ต้องการสุญญากาศเหมือนกัน เพราะรัฐธรรมนูญนี้ทำให้รัฐบาลทำอะไรไม่ได้อีกแล้ว"

"ฉะนั้นความเสี่ยงเรื่องความรุนแรงยังคงมีอยู่ และสิ่งที่เกิดขึ้นแทบทุกวันคือความรุนแรงประปราย ปาประทัดใส่การ์ดและสถานที่ชุมนุม เพราะมีทั้งคนพอใจและไม่พอใจ ซึ่งเสี่ยงที่จะลุกลามได้ทุกเมื่อ และเมื่อความรุนแรงเกิด หากทหารออกมาปฏิวัติ สถานการณ์ก็จะพลิกไปสู่สุญญากาศอีกแบบหนึ่ง"

พล.อ.เอกชัย กล่าวด้วยว่า ทางออกทุกทางออก ถึงนาทีนี้ไม่ง่ายอย่างที่คิด แม้กระทั่งการทำรัฐประหาร เพราะฝ่ายรัฐบาลก็มีมวลชนคอยต่อต้าน ตอบโต้ แต่หากรัฐบาลทำเอง ก็จะมีมวลชนอีกฝ่ายไม่ยอม เช่นเดียวกับที่ กปปส.ประกาศจะจับตัวนายกฯ ก็ทำไม่ได้ง่ายๆ เหมือนกัน แม้จะทำได้ แต่ถามว่ามวลชนอีกมากมายจะยอมหรือ ฉะนั้นทางออกทุกทางจึงเหมือนถูกปิด

เข้าดูมากที่สุด 7 วันที่ผ่านมา