"ชูวิทย์" โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุ "สาธิต เซกัล" ไม่มีสัญชาติไทย ก็ถือว่าไม่มีสิทธิเทียบเท่าพลเมืองไทย ซึ่งหากแสดงตัวเป็นแกนนำม็อบ ย่อมเสี่ยงต่อสถานะคนต่างด้าวรวมไปถึงครอบครัวด้วย
นายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรครักประเทศไทย โพสต์ข้อความผ่านทางเฟซบุ๊ก "ชูวิทย์ I m No.5" ถึงกรณีที่ กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ เตรียมเนรเทศ นายสาธิต เซกัล นักธุรกิจสัญชาติอินเดีย ที่ขึ้นเวที กปปส. และร่วมชุมนุมกับกลุ่มดังกล่าว ออกจากประเทศไทย โดยเนื้อหามีดังต่อไปนี้
คนต่างด้าว
นายสาธิต เซกัล แกนนำ กปปส. สีลม ถือสัญชาติอินเดีย แม้ว่าจะใช้ชีวิต มีครอบครัว ประกอบธุรกิจ ตั้งรกรากอยู่ในประเทศไทยเป็นเวลานานกว่า 50 ปี แต่ไม่มีบัตรประชาชนไทย ไม่ได้สัญชาติไทย ตามกฎหมายถือว่าเป็น "คนต่างด้าว"
คนต่างด้าว หมายถึง คนที่ไม่ได้ถือสัญชาติของรัฐ ไม่มีสิทธิเทียบเท่าพลเมืองของรัฐนั้นๆ ถือว่าเป็น "ประชาชนชั้นสอง" อย่างเช่นคนไทยที่ไปใช้ชีวิตอยู่ในอยู่สหรัฐอเมริกา เขาเรียกว่า "ผู้อยู่อาศัย" (Residence) แต่ไม่มีสิทธิเทียบเท่า "พลเมือง" (Citizen)
ประชาชนชั้นสอง คือบุคคลที่สามารถพักอาศัยในประเทศนั้นๆได้อย่างถาวร แต่รับราชการไม่ได้ ซื้อที่ดินไม่ได้ และไม่มีสิทธิ์ออกเสียงเลือกตั้ง แม้แต่กฎหมายยังห้ามไม่ให้พรรคการเมืองรับบริจาคเงินจากคนต่างด้าว
แต่ว่ารัฐต้องให้ความคุ้มครองสิทธิความเป็นมนุษย์ของคนต่างด้าว เทียบเท่ากับคนไทย จะไปกีดกัน แบ่งแยกเพราะผิวพรรณสัญชาติไม่ได้
นายสาธิตตัดพ้อว่าทำความดีให้กับประเทศไทยมาโดยตลอด ยืนยันไม่ได้รับใช้พรรคใดพรรคหนึ่ง ปกป้องผลประโยชน์ของประเทศไทยในฐานะเป็นประธานหอการค้าไทย – อินเดีย และสงสัยว่าตัวเองทำผิดอะไร ถึงจะต้องถูกเนรเทศจากประเทศไทย
ผมออกจะเข้าใจนายสาธิต เซกัล เป็นอย่างดี เพราะรู้จักคนต่างด้าวที่อยู่เมืองไทยมานานเป็นจำนวนมาก แม้กระทั่งตัวผมเอง เมื่ออยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกา ได้ใช้ชีวิต มีครอบครัวอยู่ที่บ้านเขา ก็ถือว่าเป็นคนต่างด้าว (Alien)
ในประเทศไทยมีคนต่างด้าว ไม่ว่าชาวจีนที่อาศัยอยู่บริเวณสำเพ็ง เยาวราช ชาวอินเดียอาศัยอยู่ในละแวกพาหุรัด มีศาสนสถาน วัดฮินดูให้กราบไหว้ ส่วนชาวญวนมีมากแถบสามเสน ฝรั่งมังค่ากระจัดกระจายอยู่แถบสุขุมวิท
บุคคลต่างๆเหล่านั้นล้วนเป็นคนต่างด้าว ตั้งรกราก ทำมาหากิน สร้างครอบครัว ใช้ชีวิตอย่างสงบ และตอบแทนบุญคุณของประเทศไทยด้วยการเป็นคนดี ไม่ก่ออาชญากรรม ปฏิบัติตามกฎหมาย จ่ายภาษีให้รัฐ สร้างความเจริญให้สังคมและเศรษฐกิจ
แต่อย่างหนึ่งที่เขาห้ามนักห้ามหนา คือไม่ให้ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง คุณสาธิตต้องเข้าใจว่าการเมืองเป็นเรื่องของบุคคลที่มีสิทธิและหน้าที่ตามที่ระบุไว้ในรัฐธรรมนูญของประเทศนั้นๆ เมื่อคุณสาธิตไม่มีสัญชาติไทย ก็ไม่มีสิทธิเทียบเท่าพลเมืองไทย
คุณสาธิตอาจจะแสดงความเห็นทางการเมืองได้ว่ารัฐทำไม่ถูกต้อง ถือเป็นเจตนาดี แต่ต้องเป็นการพูดคุยในหมู่พี่น้อง ครอบครัว มิตรสหาย หรืออาจไปแสดงออกที่เวทีสมาคมธุรกิจการค้า หากคุณสาธิตแสดงตัวถึงขนาดเป็นแกนนำในการชุมนุมประท้วงทางการเมืองที่รุนแรงอย่างที่เป็นอยู่ ย่อมเสี่ยงต่อสถานะคนต่างด้าวของคุณสาธิต รวมไปถึงครอบครัวด้วย
ผมเคยเห็น เด็กหญิงชาวอีหร่าน เติบโตในสหรัฐอเมริกาตั้งแต่สองขวบ ถือเป็นคนต่างด้าว พอเป็นวัยรุ่นอยู่ในโรงเรียนไฮสคูล ไปโพสต์แสดงความคิดเห็นสนับสนุนเข้าข้างผู้ก่อการร้าย รัฐบาลตรวจพบ นำไปสอบสวน เด็กวัยรุ่นคนนั้นถึงกับถูกเนรเทศออกนอกประเทศ
หากผมเป็นคุณสาธิต อยู่เมืองไทยมา 50 ปี ผ่านวิกฤตการเมืองมาหลายครั้ง คงจะรู้ว่าการเมืองไทยมันฉายแววอำมหิต ไร้ความปราณี แม้แต่สหรัฐอเมริกายังมองคนต่างด้าวที่เป็นศัตรูกับรัฐว่าเป็น "ผู้ก่อการร้าย" (Terrorist)
คุณสาธิตคงจะลืมตัวเพราะแรงยุ อยู่บนเวทีอาจได้รับดอกไม้ ได้รับอ้อมกอดจากลุงกำนัน แต่ก็ได้ศัตรูเป็นผู้ที่ถืออำนาจรัฐด้วย
คุณสุเทพเขาต้องการแนวร่วม ไม่ว่าจะเป็นนักธุรกิจ จนถึงเกษตรกรชาวนา ใครก็ได้ที่ตอนนี้ร่วมมือกับคุณสุเทพล้มรัฐบาล
แต่หลังลงจากเวทีก็ตัวใครตัวมัน นี่แหละครับสันดานนักการเมือง
