ศรส. / 27 ม.ค. 57 - ศรส. ขึ้นแบล็คลิสต์ 30 เอกชนท่อน้ำเลี้ยงกปปส. เชื่อ 3 ก.พ. เปิดสถานที่ราชการได้ ยันไม่เคยมีมติออกหมายเรียกศิลปิน ดารา
เมื่อเวลา 13.00 น. ที่บช.ปส.นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ในฐานะกรรมการศรส. แถลงหลังการประชุมศรส.ประจำวันที่ 27 ม.ค. ว่า ที่ประชุมได้มีการพิจารณาแนวทางในการเจรจาขอคืนพื้นที่ส่วนราชการเพื่อให้กลับมาบริการประชาชนได้ตามปกติ ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญในการปฏิบัติงานของศรส.ขณะนี้ โดยในวันนี้(27ม.ค.) ต่อเนื่องไปจนถึงวันที่ 31 ม.ค. จะมีการจัดเจ้าหน้าที่ชุดเจรจา เข้าทำการเจรจากับแกนนำผู้ชุมนุมในจุดต่าง ซึ่งเช้าวันนี้ได้เริ่มดำเนินการที่ถนนแจ้งวัฒนะ หากผลการเจรจาเป็นที่เรียบร้อยก็จะเป็นที่น่ายินดี อย่างไรก็ตามศรส.ได้เตรียมการในกรณีที่แกนนำกปปส.ไม่ยอมคืนพื้นที่ราชการ ซึ่งศรส.ได้หารือและมีมาตการเป็นขั้นตอนที่เตรียมการไว้ โดยขอยืนยันกับประชาชนว่าแม้จะไม่ได้รับความร่วมมือกับกปปส. แต่ศรส.และส่วนราชการ รวมถึงกองกำลังผสมทหาร ตำรวจ จะดำเนินการทุกวิถีทางให้ส่วนราชการสามารถกลับมาบริการประชาชนได้อย่างแน่นอน โดยจะเริ่มต้นหลังการเจรจาเสร็จสิ้นในวันที่ 31 ม.ค. โดยในวันที่ 3 ก.พ. จะสามารถดำเนินการเปิดส่วนราชการทุกแห่งได้
นายธาริต กล่าวต่อว่า ในที่ประชุมวันนี้ศรส.ได้ออกประกาศสำคัญ 4 ฉบับคือ 1.แจ้งให้ประชาชนที่ได้รับความเสียหายและเดือดร้อนจากการชุมนุมของกปปส. ในพื้นที่กทม.และปริมณฑล สามารถที่จะไปลงบันทึกประจำวันเพื่อเป็นหลักฐานกับทางราชการที่สถานีตำรวจทุกแห่ง รวมถึงกองบังคับการปราบปรามเมื่อประชาชนได้ดำเนินการดังกล่าวแล้ว ศรส.แนะนำให้นำหลักฐานประจำวันไปดำเนินการติดต่อคู่ค้าไม่ว่าจะเป็นเจ้าของบริษัท ห้างร้าน ธนาคาร ประกันภัย ต่างๆว่าได้รับความเสียหายอย่างไรจากการชุมนุม ซึ่งจะได้รับการผ่อนผัน อนุเคราะห์จากภาคธุรกิจเหล่านั้น
2.จากการที่ศรส.ขอความร่วมมือภาคเอกชนในการช่วยเหลือประชาชนที่เดือดร้อน ศรส.จะเสนอรัฐบาล เมื่อยุติการขุมนุมในการให้ความช่วยเหลือกับภาคธุรกิจเอกชนในรูปแบบต่างๆ ตามที่กฎหมายสามารถให้กระทำได้
3.เป็นประกาศแจ้งเตือนภาคธุรกิจ เอกชนให้งดเว้น การช่วยเหลือด้านการเงินหรือท่อน้ำเลี้ยง การให้ที่พักพิงหลบซ่อน การให้ใช้ยานพหนะ เครื่องมือต่างๆ ที่เป็นการสนับสนุนการกระทำผิดของแกนนำกปปส. ซึ่งในเรื่องนี้ ศรส.ได้มอบหมายให้สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน(ปปง.) สตช. และกรมสอบสวนคดีพิเศษทำการ สืบสวนสอบสวนเพื่อดำเนินการกับภาคธุรกิจเอกชนต่างๆ ที่ให้การสนับสนุนกับการกระทำผิดของ กปปส. อย่างไรก็ตามในชั้นนี้ศรส.เห็นควรจะแจ้งเตือนภาคธุรกิจ เหล่านั้นให้ยุติการช่วยเหลือตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ทั้งนี้ศรส.จะมีการแจ้งหนังสือเป็นการเฉพาะไปยังกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ประมาณ 30 ราย เพื่อเป็นการเจาะจงโดยเฉพาะว่าทั้ง 30 ราย อยู่ในแบล็คลิสต์ของศรส. ว่าเป็นผู้ให้การสนับสนุนรายใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นเงินทุน ที่พักพิง ยานพหนะ เครื่องมือเครืองใช้ต่างๆ ซึ่งศรส.จะดำเนินการแจ้งไปยังเจ้าของธุรกิจนั้นโดยเร็วที่สุด โดยศรส.จะยังไม่เปิดเผยรายชื่อทั้ง 30 รายดังกล่าว นอกจากนี้ตนได้รับรายงานจากธนาคารว่าเฉพาะครัวราชดำเนินมีเงินหมุนเวียนกว่า 200 ล้านบาท ในช่วง / เดือนที่ผ่านมา
4.ขอความร่วมือสื่อมวลชนทุกแขนง งดเว้นการเสนอข่าวที่เป็นการยั่วยุ และส่งเสริมให้มีการกระทำผิด ตามการปลุกระดม ชี้นำของแกนนำกปปส. เนื่องจากมีสื่อมวลชนบางแขนงมีการนำเสนอข่าวสารที่เป็นการยั่วยุส่งเสริมให้มีการกระทำความผิดตามการปลุกระดมของแกนนำกปปส. ซึ่งถือเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนกฎหมายตามพ.ร.ก.ฉุกเฉิน ซึ่งศรส.เห็นควรที่จะแจ้งเตือนไปยังสื่อมวลชนแขนงต่างๆ เป็นเบื้องต้นให้งดเว้นการดำเนินการเสนอข่าวดังกล่าว ทั้งนี้ประกาศทั้ง 4 ฉบับจะเผยแพร่ผ่านราชกิจจานุเบกษาในช่วงเย็นวันนี้
นายธาริต กล่าวต่อว่า ที่ประชุมศรส.ได้รับทราบผลการดำเนินคดีกับแกนนำกปปส. ซึ่งขณะนี้กรมสอบสวนคดีพิเศษ สตช. สำนักงานอัยการสูงสุด ได้ร่วมกันดำเนินคดีแจ้งข้อกล่าวหากับแกนนำกปปส. 58 คน ซึ่งวันนี้ได้มีการดำเนินการขอหมายจับตามพ.ร.ก.ฉุกเฉิน กับแกนนำชุดแรก 16 คน ซึ่งมีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นแกนนำหลัก โดยคาดว่าเย็นวันนี้ (27 ม.ค.) ศาลอาญาจะมีการพิจารณาและมีคำสั่งว่าจะอนุญาตให้จับกุมแกนนำทั้ง 16 คนหรือไม่ ซึ่งศรส.ได้เตรียมการสถานที่ควบคุมตัวไว้แล้ว ส่วนแกนนำคนอื่นๆจะมีการดำเนินการในภายหน้าต่อไป นอกจากนี้ตนขอชี้แจงว่าที่ประชุมศรส.ไม่เคยมีมติ ข้อแนะนำหรือข้อสั่งการที่จะไปเรียกดารานักแสดงมาซักถาม สอบสวนใดๆ ทั้งสิ้น
ที่มา nationchannel.com